ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

โลกหมุน

๒๗ ธ.ค. ๒๕๖๓

โลกหมุน

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ข้อ ๒๕๑๓. เรื่อง “เส้นทางธรรม”

แต่ละคนมีเส้นทางที่กำหนดและได้บำเพ็ญมาแล้ว จะเปลี่ยนแปลงได้ยากจริงไหมครับ อย่างเช่นว่า คนคนนี้จะต้องเป็นพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าในอนาคตครับ

ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามว่า “แต่ละคนมีเส้นทางที่กำหนดแล้วได้บำเพ็ญมา จะเปลี่ยนแปลงได้ยากจริงไหมครับ”

มันจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งได้พยากรณ์แล้ว แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งยังไม่ได้พยากรณ์ คำว่า ยังไม่ได้พยากรณ์” เห็นไหม เพราะทุกๆ คน คนที่เกิดมา โดยประวัติของครูบาอาจารย์ เช่น หลวงปู่สิม ท่านพูดถึงเลยว่าท่านอยู่ในช่วงเหตุการณ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ที่ราชคฤห์นะ ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นก็อยู่ที่นั่น

ในประวัติหลวงปู่สิมน่ะ หลวงปู่มั่นก็อยู่ที่นั่น แล้วพอคนเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมปาฏิหาริย์ขนาดนั้น ทุกๆ คนจะปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือการปรารถนาอธิษฐานอยากเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยอะแยะมาก คำว่า เยอะแยะมาก” นี่คือว่าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ พระโพธิสัตว์ต้องสร้างสมบุญญาธิการไปๆ สร้างสมบุญญาธิการไปจนมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งพยากรณ์

อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา สิ่งที่ว่าพยายามจะทำทางถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วยังไม่เสร็จไง พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้วท่านถึงเอาตัวท่านนอนราบไปให้เชื่อมต่อทางกันไง อันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินเหยียบร่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป แล้วพยากรณ์ว่า “ต่อไปอนาคตกาล เธอจะได้สำเร็จความปรารถนา ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชื่อว่าสมณโคดม” นี่ถ้าพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วมันต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน

ที่ว่า “แต่ละคนเส้นทางที่กำหนดและได้บำเพ็ญมาแล้ว จะเปลี่ยนแปลงได้ยากจริงไหมครับ”

ถ้าพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เลย ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น แต่เวลาสร้างสมบุญญาธิการมาๆ ถ้ายังไม่ได้พยากรณ์ ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่น เวลาท่านยังไม่ได้พยากรณ์ แล้วมันก็เป็นที่อำนาจวาสนาของท่าน ท่านมาพิจารณาแล้วพิจารณาเล่าไง เวลาพิจารณากายไปแล้วมันไปไม่ได้

พระโพธิสัตว์จะเข้าสู่อริยสัจไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้ คำว่า ไม่ได้” เพราะอะไร เพราะมันไปขัดแย้งกับความเป็นจริง ความเป็นจริงพระโพธิสัตว์พยายามสร้างสมบุญญาธิการต่อเนื่องไป ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ท่านถึงบอกว่าท่านมีวาสนาน้อยไง เพราะท่านสร้างอำนาจวาสนามา ๔ อสงไขย แล้วมันมี ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ดูสิ พระศรีอริยเมตไตรยท่านสร้างมา ๑๘ อสงไขย ต่อมาบารมีของท่านจะยิ่งใหญ่มาก

นี่ไง “เราวาสนาน้อย วาสนาน้อย ๔ อสงไขย”

คำว่า ๔ อสงไขย” เวลา ๔ อสงไขย เกิดแล้วเกิดเล่าๆ แล้วก็ต้องมา ๑๐ ชาติสุดท้าย คำว่า ๑๐ ชาติสุดท้าย” พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์จะต้องสละลูกสละเมีย อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละกัณหา ชาลีนั่นน่ะ เหมือนกัน เพราะว่าสิ่งที่ติดข้องกับสัตว์โลกอยู่นี่มันเรื่องของครอบครัว เรื่องของบุตร ภรรยา เรื่องของลูก ติดข้องที่สุด แล้วเวลามันจะถึงชาติสุดท้าย ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ แล้วพอตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจบ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วจบ

บอกว่า “แต่ละคนมีเส้นทางที่กำหนดและได้บำเพ็ญมาแล้ว จะเปลี่ยนแปลงได้ยากจริงไหม”

นี่พูดถึงผลของวัฏฏนะ นี่พูดถึงผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะตั้งแต่ยังไม่ได้สำเร็จเป็นเป็นพระอริยบุคคล นี่ไง เส้นทางของมันที่จะสร้างสมบุญญาธิการไง แต่พอถ้าเข้าสู่อริยสัจ ถ้าเป็นพระโสดาบันนี่ ๗ ชาติ แล้ว ๗ ชาติมันจะต่อเนื่อง มันจะสร้างบารมีอย่างไรล่ะ มันเป็นไปไม่ได้ คือมันขัดแย้งกันน่ะ

พระโพธิสัตว์จะเข้าสู่อริยสัจไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้ไง หลวงปู่มั่นท่านถึงว่าเวลาท่านประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ มันเข้าได้ฌานสมาบัติ เข้าได้ ฌานโลกีย์ เรื่องฌานสมาบัติ อภิญญาเข้าได้ แล้วยิ่งเป็นพระโพธิสัตว์นี่ยิ่งใหญ่นะ โอ้โฮ! อภิญญานี่ชัดเจนเลย รู้ครอบโลกจักรวาลน่ะ โอ้โฮ! แจ่มแจ้งมาก แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ใหม่ๆ จิ่มๆ ผิดๆ ถูกๆ ก็เหมือนหมอดูทาย พวกหมอดูทายฤกษ์ทายยามดูดวงชะตานี่แหละ เหมือนกัน

เวลาพวกหมอดูไม่ชำนาญก็ขลุกๆ ขลักๆ แต่ถ้ามันชำนาญ โอ้โฮ! ไอ้นี่มันสถิติประสบการณ์ของคน แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ๆ เวลาเข้าฌานสมาบัติมันจะรู้อดีตชาติไง ชัดเจน อู้ฮู! กว้างขวางมาก ถ้าจริงนะ

แต่ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ปลอม ปลอมเพราะอะไร ปลอมเพราะเพิ่งเริ่มสร้าง เริ่มสร้างอำนาจวาสนาบารมีไง พอเริ่มสร้างขึ้นมา พลังงานมันไม่เสถียร หัวใจของคนไม่มั่นคง เพราะมันยังไม่ตั้งมั่น ส่วนใหญ่แล้วพอไปๆ แล้วมันล้มลุกคลุกคลานไง

นี่พูดถึงว่า “สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงได้ยากจริงไหมครับ”

ถ้าเป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องพยากรณ์แน่นอน แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ๆ ไอ้นี่คำว่า เป็นพระอรหันต์” นะ ถ้าเป็นพระอรหันต์มันดูกันน่ะ ดูสิ ดูหลวงปู่มั่นสิ หลวงปู่มั่นท่านรอหลวงตา ท่านรู้ไง อย่างนี้มันเข้าพุทธกิจ ๕ ถ้าพุทธกิจ ๕ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ ใครมีอำนาจวาสนา

คำว่า มีอำนาจวาสนา” นะ คำว่า อำนาจวาสนา” มันมีมานะ อำนาจวาสนานี่กรรมเก่า แต่ถ้าปัจจุบันไม่ได้แก้ไข จบครับ วาสนาก็คือวาสนา วาสนาแซ่เบ๊ วาสนาก็ชื่อเฉยๆ ไง

มีวาสนา มันเป็นคนที่มีอำนาจวาสนาคนคนหนึ่ง แต่เขาจะทำคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหนนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ แล้วสิ่งที่จะเป็นไปได้บุคคล ๔ คู่ มันต้องมีข้อเท็จจริงไง มีภาวนามยปัญญา มันเกิดมาจากภาวนามยปัญญา โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ เกิดจากภาวนามยปัญญา

แล้วปัญญาแต่ละขั้นแต่ละตอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนให้อุบาย เป็นคนชักนำ เป็นคนคุ้มครอง แล้วบอกให้บุคคลคนนั้นฝึกหัดแล้วกระทำขึ้นมาในหัวใจของบุคคลคนนั้น

แล้วถ้าเป็นพระโสดาบันนะ มันก็ขัดแย้งกับพระโพธิสัตว์ไง พระโพธิสัตว์มันต้องเวียนว่ายตายเกิดไง ถ้าเป็นพระโสดาบัน ๗ ชาติ พระสกิทาคามี พระอนาคามีไม่เกิดในกามภพแล้ว คำว่า ไม่เกิดในกามภพ” นะ ไม่เกิดเป็นเทวดาลงมา จะไปสร้างอำนาจวาสนาที่ไหน จะไปสร้างอย่างไร แล้วเมื่อไหร่บารมีมันจะเต็ม เมื่อไหร่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อไหร่จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อไหร่ แต่ถ้ามันเป็น นี่ผลของวัฏฏะไง

นี่พูดถึงคำถามนะว่า สิ่งที่กำหนดอำนาจวาสนามาแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงได้ยากจริงไหม

มันเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ได้ยากหรอก เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยด้วย มันเป็นอย่างนั้นเลย แต่มันเป็นอย่างนั้นมันเป็นได้น้อย ดูสิ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์จะเกิดขึ้นแสนยากแสนเข็ญ แล้วมีได้องค์เดียวเท่านั้น แล้วองค์เดียวทีหนึ่งเวลาเท่าไร

แล้วขนาดนี้ขนาดองค์เดียวๆ นะ แต่ในสัมพุทเธฯ สวดมนต์ทำวัตรเย็นน่ะ สวดมนต์ ๗ ตำนาน สัมพุทเธฯ พระพุทธเจ้าเปรียบเท่าเม็ดหินเม็ดทรายมากมายมหาศาล แต่เกิดได้องค์เดียวเท่านั้นน่ะ นี่พูดถึงผลของวัฏฏะไง ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่ไง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า แน่นอนตายตัวเลย ถ้าบารมีเต็มแล้ว แต่ถ้ายังไม่เต็มก็พระโพธิสัตว์ไง อย่างพระพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ไง เช่น พระอรหันต์

พระอรหันต์นี่นะ เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ เรา เราเองเราบวชมาเราก็พยายามจะหาช่องทางไปให้ได้เหมือนกัน เราก็สังเกตครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ พูดคำไหนคำนั้น แล้วมั่นคง ซื่อสัตย์ มีสัจจะ

ดูสิ ดูอย่างเช่นหลวงตาพูดคำไหนคำนั้น พูดคำเดียว เมื่อก่อนเราไปอยู่กับท่านใหม่ๆ นะ โยมมาสนทนาด้วย พอพูดซ้ำ จะย้ำกับท่านนะ

“เฮ้ย! เราไม่ใช่คนเมานะ”

พูดคำเดียว แล้วคำไหนคำนั้น แล้วต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะนั่งตลอดรุ่งได้อย่างไร นี่เพราะมีนิสัยอย่างนี้ไง นี่แหละนิสัยอำนาจวาสนา ไม่ใช่หน้าไหว้หลังหลอกชักเข้าชักออก พระอรหันต์อะไรโกหกหลอกลวง เป็นไปไม่ได้หรอก มันไม่มี นี่ตรงนี้มันวัดกันที่ความเป็นจริงไม่เป็นจริง

พระอรหันต์จะเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ถ้ามีอำนาจวาสนานะ จะซื่อสัตย์ จะไม่เบียดเบียนใคร แล้วซื่อตรง สังเกตได้เลย เราก็ไปอยู่กับครูบาอาจารย์มาเยอะ แล้วองค์ไหนที่เป็นจริงนะ เป็นอย่างที่เราว่านี่ มันแบบว่าลงใจมาก

องค์ที่ไม่จริงนะ หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าล่ะ แหม! หวานเจี๊ยบเชียว พอโยมกลับไปเป็นอีกอย่างหนึ่งเลยน่ะ ถ้าเห็นอย่างนั้นนะ เราเก็บของออก เราไม่เคยอยู่ด้วยเลย ถ้ายังศีล ๕ ไม่สมบูรณ์ มึงจะเป็นพระได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้

นี่พูดถึงว่าเส้นทางธรรมนะ นี่พูดถึงว่าเวลาถามถึงพระอรหันต์ ถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตครับ นี่เขาถาม จบ

ถาม : ข้อ ๒๕๑๔. เรื่อง “การบำเพ็ญบารมีในพระพุทธศาสนา”

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ จริงไหมครับที่เราได้เคยบำเพ็ญบารมีในพระพุทธศาสนามาหลายภพหลายชาติจนนับไม่ถ้วนแล้ว แล้วขาดความเพียรทำให้ลงอบาย ขึ้นสวรรค์ หรือเกิดเป็นมนุษย์ สลับกันไปมามากจนนับภพนับชาติไม่ถ้วนใช่ไหมครับ

ตอบ : ถ้าเป็นชาวพุทธเราก็เชื่อกันอย่างนี้ไง เราเชื่อกันอย่างนี้เพราะเราเชื่อพระพุทธเจ้า เราเชื่อกันอย่างนี้เพราะเราเชื่อในธรรมและวินัย ในศาสดาของเรา

เพราะในพระไตรปิฎกเยอะแยะเลย ในพระไตรปิฎกมันมีวินัยปิฎก วินัยปิฎกพูดถึงวินัย พูดถึงวินัยก็พูดถึงบาปกรรมเหมือนกัน แต่สุตตันตปิฎก พูดถึงสุตตันตปิฎกเขาว่ามันเป็นเรื่องนิทาน เรื่องภพเรื่องชาติ มันมีมากมายในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกเราต้องไปอ่านเนื้อในพระไตรปิฎกต้นเหตุสิ

แต่เวลาอรรถกถา ฎีกา เวลาเราเป็นชาวพุทธ เรื่องนิทานอีสปอย่างนี้ เรื่องนกแขกเต้า เรื่องนิทานชาดกแต่ละภพแต่ละชาติ พอมันแต่ง มันขยายความใช่ไหม ขยายความเป็นตำนาน พอเป็นตำนานเป็นเรื่องในท้องถิ่น พอท้องถิ่น พวกนักวิทยาศาสตร์หรือปัญญาชนก็ดูถูกแล้ว “มันเป็นนิทาน มันไม่จริง มันเรื่องเขียนเสือให้วัวกลัว นรกสวรรค์นี่เขียนเสือให้วัวกลัว ไม่มีอยู่จริง” มันก็ไปนู่นไง

อ่านต้นฉบับสิ อ่านต้นฉบับคือต้นตัวจริงของพระไตรปิฎก แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพูดถึงเพราะอะไร เพราะพระในสมัยพุทธกาลเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ท่านบอกทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ

ท่านบอกอดีตชาติเป็นอย่างนั้นๆๆ

แล้วทำไมพระ มันมีพระอยู่กลุ่มหนึ่งนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณ ท่านรู้ว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ คือท่านไม่สามารถจะช่วยพระกลุ่มนี้ได้ พอท่านไม่สามารถจะช่วยพระกลุ่มนี้ได้ ท่านก็บอกพระอานนท์

พระพุทธเจ้าถึงเวลาวิกฤติ เวลาเรื่องของวาระไง วาระของคนที่มันทำเวรทำกรรมไว้มันถึงวาระของเขาแล้วช่วยเหลือไม่ได้ ถ้าอยู่แล้วมันจะมีปัญหาใช่ไหม ท่านบอกพระอานนท์ว่า

“อานนท์ เราจะเข้าวิเวกนะ ห้ามทุกคนเข้าไปหาเราในพรรษานี้”

๓ เดือนท่านจะไปอยู่วิเวก พอท่านไปอยู่วิเวกปั๊บ ออกจากวิเวก ออกจาก ๓ เดือนมาท่านถามพระอานนท์

“อานนท์ ทำไมพระหายไปตั้งครึ่งตั้งค่อนล่ะ พระไปไหนกันหมด”

พระอานนท์บอกว่า พระฆ่าตัวตายหมดเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเข้าวิเวก ห้ามพระเข้าไปหาท่าน ทีนี้ห้ามพระเข้าไปหาท่าน พระที่อยู่วัดอยู่ที่นั่นเขาก็ภาวนากัน เขาพิจารณาอสุภะๆ ไง เวลาพิจารณาอสุภะไปแล้วมันขยะแขยง มันขยะแขยง เห็นไหม ทางสุดโต่งที่ไม่ควรเสพ ทางสุดโต่ง ๒ ข้าง เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ สุดโต่ง ๒ ข้าง

เวลาภาวนาไปมันเห็นร่างกายมันขยะแขยงไง มันไม่มัชฌิมาปฏิปทา มันไม่สมดุลพอดี มันไม่เป็นในพระพุทธศาสนาไง มันเป็นเรื่องกรรมของสัตว์ เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมไง ก็ขยะแขยงก็รังเกียจตัวเองไง ก็ไปจ้างช่างกัลบกเชือดคอตาย

ไปให้พวกช่างกัลบกคือพวกตัดผม เขามีมีดโกนไง ให้เขาเชือดคอ เพราะว่ามันขยะแขยงตัวเอง มันสะอิดสะเอียนน่ะ มันก็ไปให้เขาเชือดคอ แล้วเอาบริขาร ๘ เป็นค่าจ้าง เชือดเลย เชือดๆๆ เลย พระตายเยอะเลย มันสุดวิสัย เพราะกรรมมันรุนแรงไง

ฉะนั้น พอออกจากวิเวกมาถามพระอานนท์ นี่พระหายไปไหนตั้งครึ่งหนึ่ง

อู้ฮู! ฆ่าตัวตายหมดเลย พอเสร็จแล้วก็ถามพระพุทธเจ้า ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ

มันเป็นกรรมของสัตว์ มันเป็นกรรมของสัตว์แต่ละภพแต่ละชาติที่เขาได้สร้างของเขามา แต่ก่อนเขาบอกว่าพวกนี้มันเป็นชาวประมงหรืออย่างไร เขาไปทำที่เลี้ยงปลามันสระอะไรสุ่มไว้ แล้วเขาก็เอานั่นล้อมไง ฆ่าสัตว์ กรรมเก่ามันส่งผลมาไง พอมันส่งผลมา เวลาภาวนาไป เห็นไหม

นี่ไง บอกว่า เวลาเราเกิดมาหลายภพหลายชาติแล้วใช่ไหม เราเกิดมาแล้ว เวลาขาดความเพียรมันจะทำให้ลงอบายภูมิ ขึ้นสวรรค์ใช่ไหม

นี่ขนาดบวชเป็นพระนะ เกิดมาแล้วบวชเป็นพระด้วย เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วย แล้วอยู่กับพระพุทธเจ้าด้วย ถึงเวลาแล้วเวลาถ้ากรรมมันรุนแรง กรรมให้ผล พระพุทธเจ้ายังช่วยไม่ได้เลย นี่กรรมของสัตว์ไง ฆ่าตัวตาย พระฆ่าตัวตายเต็มเลย

แล้วเราถ้าไม่ได้ศึกษาในพระไตรปิฎกก็ “มันมีอยู่จริงหรือวะ”

อ้าว! มีอยู่จริงหรือเปล่าล่ะ เพราะเหตุที่เกิดในปัจจุบันที่เราเห็นเรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องต่างๆ ในสมัยพุทธกาลมันก็มีอย่างนี้ แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะแก้ได้ก็แก้ เวลาแก้ได้ อย่างที่ว่าสามเณรน้อย ที่ว่าลูกศิษย์ของพระสารีบุตรไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาแล้วท่านสนทนากับพระสารีบุตร บอกเณรน้อยน่ารักเนาะ แต่เสียดายอีก ๗ วันก็จะสิ้นชีวิตแล้ว

นี่ไง พออีก ๗ วันจะสิ้นชีวิตแล้ว พูดกับพระสารีบุตรมั้ง พระสารีบุตรก็สงสารมาก ก็รู้ว่าเณรอีก ๗ วันก็จะสิ้นชีวิตแล้ว ก็บอกให้เณรไปลาพ่อลาแม่ซะ ไอ้เณรที่ไปลาพ่อลาแม่นะ มันก็กลับบ้านไปหาพ่อแม่ ไม่ได้บอกมันไงว่าไปลาพ่อลาแม่ เพราะว่าพูดให้คนจิตใจมันตก พระกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ท่านไม่ทำหรอก ท่านก็ใช้อุบายบอกว่าไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่นะ แล้วให้กลับมา

สามเณรมันก็ไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่มันนะ มันก็ไป ไปตามทางไปเห็นปลา ไปเห็นแหล่งน้ำที่มันแห้ง แล้วปลามันจะเสียชีวิตไง เด็กน้อยมันก็ตักปลาไปปล่อย ตักไปปล่อยไง เสร็จแล้วมันสนุกประสาเด็ก นั่นน่ะบุญทั้งนั้นน่ะ

แล้วเขาก็ไปเยี่ยมญาติเขา เยี่ยมญาติเสร็จแล้วเขาก็กลับมาหาพระสารีบุตร พอครบ ๗ วัน เณรมันไม่สิ้นชีวิต พระสารีบุตรก็ถามพระพุทธเจ้า นี่ไง สามเณรน้อยที่ว่ามันจะสิ้นชีวิต ๗ วันทำไมมันไม่สิ้นชีวิตล่ะ

ถ้าธรรมดาเหตุการณ์มันปกติ เณรจะสิ้นชีวิต แต่เพราะว่าพอเราให้อุบาย ให้ไปลาญาติโยมของเขา แล้วเขาไป เขาไปเห็นสัตว์ที่มันจะสิ้นชีวิต เขาไถชีวิต เขาเอาชีวิตจากที่น้ำมันเหือดแห้งไปปล่อยในแหล่งน้ำ มันก็ได้ชีวิตมันไป เพิ่มมันไป มันก็รอดต่อเนื่องมา

ไอ้ประเพณีปล่อยนกปล่อยปลาเรามันก็มาจากนี่ทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาปล่อยนกปล่อยปลา มันก็ปล่อยนกปล่อยปลาโดยเจตนาไง เดี๋ยวนี้มันเป็นธุรกิจหมดเลยนะ แล้วเขาก็จับ มันก็เป็นประเพณี ว่าอย่างนั้นเถอะ ประเพณีก็คือประเพณี นี่พูดถึงสิ่งที่เวลามันเรื่องกรรมของสัตว์ไง

ทีนี้เรื่องกรรมของสัตว์นะ ทีนี้บอกว่า ในคนเราที่เกิดมาได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาหลายภพหลายชาติหรือไม่ จนมาได้สร้างความเพียร

เพราะเกิด เราเกิดมาหลายภพหลายชาติ แต่ในเกิดมาหลายภพหลายชาติมันเป็นอดีต ถ้าจิตไม่มีมนุษย์สมบัติสมบูรณ์แบบ จะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หรอก มันต้องไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นวัว เป็นควาย เยอะแยะไปหมดน่ะ

วัวควายสมัยโบราณนะ มันจะมีสีขาวกับสีกรัก สังเกตได้ วัวธรรมชาติมันจะสีขาวกับสีกรักมากเลย พระ แม่ชี เวลาดำรงชีพแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติ มาเกิดเป็นวัวเป็นควายไปไถนาใช้เขาทั้งนั้นน่ะ วัวธรรมดามันจะมีสีขาวกับสีกรัก สีเหลืองเยอะมาก ทีนี้พอเกิดเป็นวัวเป็นควายมันก็อยากจะมีความสุขของมันนะ

นี่พูดถึงว่า เวลาเราเกิดมาแล้วในชาติปัจจุบันนี้ สิ่งที่ส่งเสริมมานี่อดีตชาติ เรื่องกรรมส่งเสริมมา ส่งเสริมมาเกิดเป็นมนุษย์ๆ แต่เกิดเป็นมนุษย์ที่ไหนไง นี่ผลของวัฏฏะ มนุษย์มาจากเทวดา อินทร์ พรหมหมดอายุขัยก็มาเกิด บางทีไปเกิดในนรก ในนรกถ้าใช้เวรใช้กรรมเสร็จสิ้นแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ไง

ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นภพกลางไง มนุษย์ที่เกิดมาจากภพชาติที่มันทุกข์มันยาก ภพชาติที่มันนิสัยเป็นอย่างนั้น เกิดมา ดูสิ คนพาลไง เวลาเกิดมาจากสวรรค์ เกิดมาจากที่ต่างๆ เวลาหมดอายุขัยก็มาเกิดเป็นเราไง ดูสิ ชีวิตเขา ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ เขาชอบ เขาทำอะไรของเขาร้อยแปด นี่ผลของวัฏฏะ

แต่นี่เวลาเราเกิดมาแล้ว เวลาเรามาสร้างความเพียรแล้วมันจะลงอบาย จะขึ้นสวรรค์ มันเป็นไปตามการกระทำของตนใช่ไหม สลับกันไปใช่ไหม

มันก็อยู่ที่ความเชื่อไง ถ้าอยู่ที่ความเชื่อแล้ว คนที่มีความเชื่อที่เข้มแข็งนะ เวลาอยู่ในวิกฤติ ให้เขาทำบาปเขายังไม่ทำเลย เด็กๆ บางคนหลายๆ คนเกิดมาไม่กินเนื้อสัตว์ตลอดเลย เด็กบางคนมันพฤติกรรมแปลกๆ ทั้งนั้นน่ะ แล้วทีนี้พอพฤติกรรมแปลกๆ ปั๊บ มันก็จะไปเข้าสู่ทางการแพทย์แล้ว วินิจฉัยเลยนะ มันผิดอะไร ยีนมันผิดหรือเปล่า มันเกิดมานี่มันผิดนะ ทางวิทยาศาสตร์มันก็ช่วยได้เรื่องร่างกายนั่นน่ะ แต่มันก็มีเวรมีกรรมของมันมา

นี่พูดถึงว่า เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ ในพระพุทธศาสนามันสอนอย่างนั้น แล้วสอนอย่างนั้นแล้วมันก็ย้อนกลับมาที่เราว่านี่ เราฟังเทศน์ของท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านพูดถึงนางปฏาจาราเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมนางปฏาจาราตามสามีไปล่ะ ท่านคิดขนาดนั้นนะ นี่พูดถึงว่าถ้ามีอำนาจวาสนาจะเป็นพระอรหันต์ ถ้ามีอำนาจวาสนาเป็นพระอรหันต์ ทำไมไปมักมากในกามได้ล่ะ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ แต่ก็เป็น เวลาเป็นแล้ว แล้วนางปฏาจาราก็เป็นพระอรหันต์

คำว่า เป็นพระอรหันต์” นะ ดูพฤติกรรม ดูนิสัย ถ้ามันเป็นจริงนะ ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเล็งญาณไง คนที่มีอำนาจวาสนาแล้วอายุสั้น คนมีอำนาจวาสนามากมายแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีเวลาไป เวลาไปมันก็เอาได้เฉพาะไง เอาได้เฉพาะนะ มียสะ ยสะเป็นหัวหน้า แล้วยสะเป็นหัวหน้าในชุมชนของเขา เขาคอยเก็บผี ทำบุญกุศลไง ทีนี้พอยสะบวชแล้วเพื่อนของเขาได้ยินข่าว มาบวชตาม นี่เวลาได้เป็นกลุ่ม ได้ชฎิล ๓ พี่น้อง มันได้อาจารย์ ได้ลูกศิษย์ด้วย

ดูสิ ของเราในสมัยปัจจุบันนี้ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เกิ่งท่านเป็นอุปัชฌาย์นะ เป็นมหานิกาย ญัตติทั้งวัดเลย เวลาได้มันได้ ถ้าได้เป็นวัดมันต้องได้หัวหน้า หัวหน้าที่ดีงามเดี๋ยวเขาจะมีลูกศิษย์ลูกหาของเขา ถ้าได้หัวหน้า ได้ลูกศิษย์ด้วยก็เป็นกลุ่ม แต่ถ้าไม่ได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีเวลาเลยล่ะ องคุลิมาลนี่เฉียดฉิวเลยนะ ถ้าไปช้ากว่านั้นนะ องคุลิมาลฆ่าแม่แล้วจบเลยนะ

เวลาคนที่มีวาสนาๆ คนมีวาสนานี่อำนาจวาสนาบารมีที่สร้างมา องคุลิมาลเป็นคนดีมากๆ ดีจนอาจารย์รักมาก แต่ลูกศิษย์มันอิจฉาไง ยุแยงตะแคงรั่ว อาจารย์ก็เป็นคนดีคนหนึ่งนะ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ สุดท้าย มันจะเป็นชู้กับเมียนะ

โอ๋ย! เรื่องเมียน่ะ อาจารย์ก็เขวนะ คนดีๆ ทั้งนั้นนะ แต่เวลาไอ้พวกตอกลิ่ม ทุบหินแตก ดึงฟ้าต่ำ พวกนี้มันยุมันแหย่มันทำลาย แล้วยุแหย่ทำลาย อาจารย์ก็ดีนะ ยุไปแหย่มา อยู่ในธรรมบท เรื่ององคุลิมาล

ยุแหย่ อาจารย์ก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ เป็นอาจารย์ดีคนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วลูกศิษย์มันก็ใช้สมองมันน่ะ “โอ๋ย! อย่างนั้นมันจะเป็นชู้กับเมียนะ มันเข้าใกล้ชิดแล้วล่ะ ดูเอาอกเอาใจกันเหลือเกินน่ะ” เอาจนได้เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้น” เพราะคนมีปัญญาไง จะฆ่าลูกศิษย์ตัวเองก็ทำไม่ลงไง ออกอุบาย “เรามีวิชาการชั้นยอดยอดเยี่ยมเลย แต่ต้องแลกด้วยนิ้วมือพันนิ้ว” ก็คิดว่าพันคนนี่ไม่รอดหรอก ทางบ้านเมืองเขาไม่ปล่อยไว้แน่นอน แต่เขาก็รอดมาได้นะ จนนิ้วสุดท้าย

นี่พูดถึง เห็นไหม คนดีๆ ทั้งนั้นนะ

บอกว่า เวลามันจะทำให้ลงอบายภูมิ ทำให้ขึ้นสวรรค์ ก็อยู่ตรงนี้ไง อยู่ตรงเกิดมาในชาติปัจจุบันนี้แล้วมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหนไง ถ้ามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน เห็นไหม คนดีๆ นะ คนดีๆ เยอะแยะไป แต่มันไม่เป็นข่าว ถ้าลูกฆ่าพ่อ พ่อฆ่าแม่ โอ้โฮ! เป็นข่าวเยอะแยะเลย

คนดีๆ เยอะแยะไป ถ้าคนดีๆ ไม่เยอะแยะไป สังคมไทยไม่ร่มเย็นเป็นสุขมาอย่างนี้ได้ คนที่ปิดทองหลังพระเยอะแยะนะ แต่เขาทำไม่ให้ใครรู้ไง เพราะเขามีสติมีปัญญาของเขา เขาทำเพื่อสังคมนะ แล้วสังคมได้รับความร่มเย็นเป็นสุขจากเขา เขาเก็บตัวเงียบๆ

คนเก็บตัวเงียบๆ แล้วทำดีหลังพระนี่เยอะ อย่างนั้นน่ะน่าชื่นชมว่าเขาเป็นคนดี ไอ้ประเภทเอาหน้านี่ไร้สาระ แล้วตอกลิ่มทำให้แตกแยก ทำหินแตก ลงอบายภูมิ

นี่ไง นรกสวรรค์ เพราะเราเชื่อ เราเชื่อกันอย่างนี้ เราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม ในรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นแก้วสารพัดนึก ใครนึกได้มากน้อยแค่ไหนไง ถึงที่สุดสิ้นกิเลสได้เลยแหละ เป็นที่พึ่งจนสิ้นกิเลสได้ สุดยอดยอดเยี่ยมเลย

แล้วถ้าได้มากได้น้อยก็อย่างนี้ สวรรค์สมบัติ มนุษย์สมบัติ แล้วไอ้เปรตผี อบายภูมิ นั่นก็กรรมของสัตว์ มันมีที่มาที่ไปทั้งสิ้นน่ะ เวลาภาวนาไปแล้วมันเรื่องของจิต ถ้ามันไม่ทะลุ มันไม่รอบคอบ ไม่หมดสิ้น มันจะพ้นกิเลสได้อย่างไร

เวลาจะพ้นกิเลสมันจะพ้นหมดน่ะ แต่ละขั้นแต่ละตอนไง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สังโยชน์ ๑๐ รูปราคะ อรูปราคะ ฌานสมาบัติไง รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เวลาฌานสมาบัติ เข้าฌานสมาบัติ สังโยชน์อย่างละเอียดน่ะ เวลาสำคัญตนๆ เวลาทำลายตัวตนอันนั้นน่ะ มานะ ๙ เวลามันขาดไปแล้ว ไอ้เรื่องอย่างนี้ไม่รู้ได้อย่างไร ไอ้รู้นี่ ไอ้วัฏฏะจบหมดน่ะ

หลวงตาท่านบอกไง จิตนี้ยิ่งใหญ่นัก ครอบสามโลกธาตุ

เพราะจิตมันเวียนว่ายตายเกิดในสามโลกธาตุไง แล้วมันยิ่งใหญ่กว่าไง นี่จิตใจพระอรหันต์ แล้วมันจะไม่รู้เรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เขาไม่พูดนะ หลวงตาท่านพูดไง “พูดไปเขาจะหาว่าเราบ้า”

ไอ้โลกมันมองว่าคนสิ้นกิเลส ไม่เชื่อเลย ว่าบ้า ไอ้คนที่เขารู้ ไอ้โลกมันบ้าอยู่นี่ ไม่พูดกับมัน เงียบ ของจริงเขาเงียบ เขาไว้สอนสัทธิวิหาริก เขาไว้สอนคนที่มันมีอำนาจวาสนา แล้วมันมีเข็มทิศ มันมีเข็มมุ่งที่มันจะพ้นจากทุกข์ เวลาพูดสิ่งใดไปมันแทงหัวใจ มันสะเทือนถึงกิเลสทั้งสิ้น

ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงเขาเก็บไว้ หลวงตาท่านบอกว่า นิวเคลียร์นิวตรอนอยู่ในย่ามเต็มเลย ไม่ได้ออกเลย

เพราะมันไม่มีคนรับ มันไม่มีใครภาวนาจริงจัง มันไม่มีใครต้องการคุณธรรม มันอยากดังอยากใหญ่

“นิวเคลียร์นิวตรอนเราไม่ได้ออกเลย ไม่ได้ออกเลย”

เขามีเอาไว้สอนลูกศิษย์ เอาไว้คนที่ต้องการ แล้วเวลาต้องการขึ้นมา ผู้ให้และผู้รับสมดุลต่อกัน ลูกศิษย์ลูกหากับครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เห็นไหม อย่างนั้นมันถึงจะมืออาจารย์กับมือลูกศิษย์มันถึงจะสมควรแทนกันได้

ไอ้อยากดังอยากใหญ่ เหยียบย่ำ ย่ำยี มันแทนกันไม่ได้หรอก มันแทนกันไม่ได้ มันเป็นพิษเป็นภัย จะเข้ากับสัจจะความจริงไม่ได้

นี่พูดถึงว่าการบำเพ็ญเพียรไง นี่พูดถึงผลของวัฏฏะไง

“จิตแต่ละดวงได้สร้างบุญญาธิการมามากมายมหาศาลใช่ไหม”

ใช่ แต่ละภพแต่ละชาติสูงๆ ต่ำๆ ไง เดี๋ยวเกิดเป็นกษัตริย์ อีกชาติหนึ่งไปเกิดเป็นยาจก ยังดีนะ ไม่ไปเกิดเป็นวัวเป็นควาย ไปเกิดเป็นวัวเป็นควาย ในพระไตรปิฎกก็มี เวลาไปเกิดเป็นวัวเป็นควาย เวลาในธรรมบทเยอะแยะเลย เวลาตายไปแล้วเนื้อของสัตว์มันยังมีคุณค่าไง มาเข้าในนิมิตของพระอรหันต์เลยล่ะ

พรุ่งนี้เช้าเจ้าของสัตว์เขาได้ฆ่าแล้ว ถ้าเขาทำอาหารมาถวาย ขอให้ได้ฉันเนื้อให้ท่านหน่อย เพราะอะไร เพราะว่าอยากทำบุญมาก อยากได้เกิดมนุษย์

เวลาเป็นสัตว์ เวลามันจนตรอกมันคิดของมันได้ แต่มันพูดไม่ได้ แล้วเราเวลาเกิดในสถานะอย่างนั้นแล้วมันจะรู้ แต่จะรู้ก็รู้ขณะเมื่อมันมีแอกบนคอหมดน่ะ รู้ต่อเมื่อมันทุกข์มันยาก เวลามีสติสัมปชัญญะที่จะสร้างคุณงามความดีเสือกไม่รู้ อยากจะเอาชนะเขา

แต่ถึงเวลาจนตรอกไปแล้ว อยู่ในแอก มึงจะรู้ไม่รู้ มึงหนีไม่พ้นหรอก แต่ตอนที่มีโอกาสจะทำมันไม่ทำ นี่พูดถึงกิเลสไง มันถึงร้ายนัก กิเลสอยู่ในหัวใจของมนุษย์ร้ายที่สุด แล้วมันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา

เรื่องของเรานะ ถ้าเรามีความเชื่ออย่างนี้ เรามีความเชื่อ มีความเชื่อนะ แต่พระอรหันต์เขารู้หมดน่ะ ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติเห็นจริงหมดน่ะ

หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้ามนุษย์ได้เห็นนรกสวรรค์แล้วโดยตาเนื้อ เขาจะไม่ทำความชั่วเลย เพราะเขากลัว

แล้วมันเป็นบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ มาฆบูชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑,๒๕๐ องค์ ของพระศรีอริยเมตไตรยเป็นหมื่นเลย แล้วเวลาแต่ละองค์เวลาโปรดพระมารดาลงมาจะเปิดโลกธาตุ เปิดนรกสวรรค์เห็นเหมือนกันหมดเลย เห็นหมดเลย แล้วถ้าเห็นแล้วจะรู้เลยว่าใครไปเกิดเป็นใคร

แต่ในพระไตรปิฎก พระโมคคัลลานะไปเที่ยวนรกสวรรค์มา ในราชคฤห์ มาบอกเลย คนนั้นตายแล้วไปเกิดที่นั่นๆๆ พระพุทธเจ้าบอก ใช่ๆๆ อยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในอรรถกถาเยอะแยะไปหมดน่ะ เชื่อไม่เชื่อนั่นมันกรรมของสัตว์ สัตว์จะเชื่อไม่เชื่ออีกเรื่องหนึ่ง ไอ้นี่เป็นธรรมและวินัย เป็นศาสดาของเรา แต่ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติจริงๆ เห็นจริงๆ เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของมึง จบ

ถาม : ข้อ ๒๕๑๕. เรื่อง “ภาวนา”

กราบพ่อแม่ครูจารย์ครับ ผมภาวนาทำความสงบใจแล้วก็ใช้ปัญญาเรื่อยไป จับมันได้ก็แยกแยะพิจารณา แล้วก็กลับมาทำความสงบใจอยู่อย่างนี้บ่อยครั้งตลอดมา จนพิจารณาเข้าไปรู้แล้วก็ปล่อยมัน รับรู้ว่ามันเป็นไปอย่างนั้น ก็ปล่อยวางมาเรื่อยๆ สลับกับพุทโธตลอด

ผลของมันต่างจากตอนแรก ตอนมันถอดถอนมันก็ขนลุกมหัศจรรย์ แต่ทำซ้ำๆ บ่อยครั้ง ปล่อยวางบ่อยขึ้น เพียงแค่รับรู้อาการที่มันแสดงตัวแล้วก็ปล่อยวางไป มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันเกิดขึ้นแล้ว แล้วมันก็ผ่านไปแล้ว อาการที่เกิดขึ้นคือมันไม่ขนลุก แต่อาการมันลงมาที่แขนขวา แล้วเริ่มจะฉีกไปเรื่อยๆ จากที่ไปรับรู้แล้วก็ปล่อยวางตลอดมา แต่ผมไม่เชื่อ ตรวจสอบ เลยขยับแขนไปแล้วมาตั้งใหม่ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง

ขออนุญาตถวายหลวงพ่อครับ ถ้ามันสมควรผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะด้วยครับ กราบขอบพระคุณ

ตอบ : มันจะฉีกไปทางใดไม่เกี่ยว นี่เราไปเชื่ออาการไง

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆ ถ้าธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เราก็กลับมาที่พุทโธๆ ถ้าพุทโธๆ เวลามันพิจารณาเข้าไปแล้วมันปล่อย ขนลุกขนพอง ขนลุกขนพองมันคืออาการของปีติ มันเป็นอาการของใจ มันไม่ใช่เกี่ยวที่ร่างกายที่มันอยู่ตรงไหน

แล้วถ้าอย่างนี้ พอเราสงสัยแล้วมันอยู่ตรงนี้ๆ เดี๋ยวมันก็ไปอยู่ที่เท้า เดี๋ยวก็ไปอยู่บนศีรษะ เดี๋ยวมันก็ไปอยู่ที่แขนข้างนู้นข้างนี้ มันก็ตามไปหมดน่ะ นี่มันคืออาการของปีติ คืออาการของการรับรู้

อาการของการรับรู้ เวลากินอาหารมันรับรู้ที่ลิ้น ลิ้นรับรสอร่อยไม่อร่อย แล้วร่างกายทั้งหมดมันก็ได้ผลประโยชน์จากลิ้นนี้

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเกิดอาการอย่างนี้มันก็ขนลุกขนพอง ขนลุกขนพองก็เกิดจากอาการของใจที่มันเกิดปีติ ปีติแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว พอผ่านไปแล้ว เวลาปีติมันเกิดขึ้นแล้วมันก็จางลงๆ จางลงก็ว่ามันฉีกไปนู่น

มีคนถามเยอะมาก เมื่อก่อนมันเกิดปีติแล้วมีความสุขมาก เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีปีติเลย ไม่มีความสุขเลย นี่มันเกิดครั้งแรกมันก็ตื่นเต้น พอครั้งต่อๆ ไปมันก็เบาลงๆๆๆ เบาลงจนไม่เห็นมีเลย

มี แต่มันคุ้นเคย มันเป็นอะไรไป แหม! ไม่ใช่ว่ากินอาหารร้อยครั้งก็ให้อร่อยเหมือนกันร้อยครั้ง พอมันเจือจางไง ไม่ต้องไปตื่นเต้นอะไรกับมัน พุทโธไปเรื่อยๆ เวลามีอะไรก็กลับไปที่พุทโธ

นี่มันสงสัยไง พอมันเกิดปีตินะ โอ้โฮ! มันจะเกิดครั้งต่อไปจะให้มากกว่านี้ไง เหมือนหลวงตาขึ้นไปถามหลวงปู่มั่นไง จะเอาอีกๆ มันไม่มีหรอก ถ้ามันเป็นความจริงมันเป็นครั้งเดียวเท่านั้นแหละ แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริงนะ มันเป็นแล้วมันก็จางไป จางไปแล้ว ถ้าจางไปๆ พอมันชินชา เดี๋ยวมันก็กลับมาก็ชัดเจนอีกทีหนึ่ง ก็ขนลุกอีกทีหนึ่ง เดี๋ยวมันจางไปๆ ก็หายไปอีกแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดา

เอาอริยสัจสิ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เอาข้อเท็จจริง อย่าไปเอาอาการไง อยากอร่อยไง แต่เราเอาอาหารที่สดใหม่ แล้วไม่เป็นโทษเป็นภัย เอาอาหารที่สดใหม่ ไม่ใช่เอารสของมันไง อาการน่ะ อาการอร่อย อร่อยไม่มี อร่อยคือความพอใจ ใครพอใจก็คืออร่อย

นี่ก็เหมือนกัน จะเอาอร่อย เอาขนลุกขนพอง แล้วมันไม่มี แล้วตอนนี้เขาก็ตามไปแขนนู้นแขนนี้

พุทโธ

แขนมันก็คือแขน แขนเอาไว้ฉีดวัคซีน เดี๋ยววัคซีนโควิดมาแล้ว แขนนี้เอาไว้ฉีดวัคซีน ไม่ต้องไปตามรู้มันหรอก แขนก็คือแขน ไม่เกี่ยวกับภาวนา

กลับมาพุทโธ แล้วพิจารณาของมันไปเรื่อยๆ แล้วถ้ามันเป็นจริง จะเอาความจริงอันนั้น ถ้าความจริงอันนั้นมันก็จบ

ไม่ใช่ว่า แหม! พอมันไปที่แขน แขนเลยเป็นของจริงขึ้นมาเลย

มันไปที่สงสัย สงสัยเป็นจริงขึ้นมาเลยหรือ มันเป็นที่กิเลส กิเลสก็เลยกลายเป็นธรรมะเลยหรือ มันไปที่กิเลสไง ไปที่อหังการไง ไปที่ความอวดรู้ไง แล้วก็จะเป็นธรรมขึ้นมาหรือ

ไม่ใช่

เป็นธรรมเขาอ่อนน้อมถ่อมตน เขารู้จริง รู้จริงแล้วเขาวางไว้ตามความเป็นจริง แล้วเขาไม่เอะอะมะเทิ่ง นั่นถึงเป็นความจริง

ไม่ใช่ตามกิเลสไป อหังการ อยากรู้ อยากอวด อยากใหญ่ อยากโต อันนั้นเป็นธรรม ไม่มีหรอก นั่นน่ะกิเลสชัดๆ

เป็นธรรมมันอ่อนน้อมถ่อมตน ความรู้เขาสงวนไว้ภายใน ภายในใสสะอาด ภายนอกต๊ะติ๊งโหน่ง จบ

ถาม : ข้อ ๒๕๑๖. เรื่อง “ความเคารพอ่อนน้อม”

กราบนมัสการหลวงพ่อ ผมมักไม่ค่อยมีความอ่อนน้อมต่อผู้อื่น ไม่ค่อยชอบการทักทายและการเข้าสังคม จนบางครั้งรู้สึกว่าเราหยิ่งผยองมาก ตรงกันข้าม ถ้าเป็นพระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่ผมเคารพในคุณธรรม ผมจะมีความเคารพอ่อนน้อมและกราบไหว้ได้ง่าย เรื่องนี้เป็นปัญหามากในการอยู่ในสังคมของผม อยากให้หลวงพ่อช่วยเมตตาธรรมด้วยครับ

ตอบ : มันเป็นนิสัยๆ แบบที่ถามเมื่อกี้นี้ไง ที่ว่าต้องสร้างสสมบุญญาธิการมาใช่ไหม ต้องอย่างนั้น นี่นิสัยน่ะ นี่ไง อำนาจวาสนาไง

ถ้าคนมันเป็นคนจริงๆ คนจริงมันเห็นคนกะล่อนปลิ้นปล้อนแล้วมันทำไม่ได้ แต่ถ้ามันเห็นครูบาอาจารย์นี่มันไหว้ได้ แล้วมันไม่เข้าไปสังคมที่เหลวไหล ที่เหลวไหล สังคมมันไม่เอา เว้นไว้แต่ไม่รู้แล้วเข้าไปอยู่กับเขา แต่มันก็ไม่ไปเสียหายอะไรกับใคร นี่อำนาจวาสนาไง นี่ไง ผลของวัฏฏะไง

เมื่อวานโลกแตก วันนี้โลกหมุนไง มันวงจร วัฏฏะ วิวัฏฏะ โลกมันหมุนของมันไปไง ถ้าหมุนของมันไป เวลาเกิดขึ้นมามีอำนาจวาสนาหรือไม่

เขาบอกว่า “ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยอ่อนน้อมต่อผู้อื่น ไม่ค่อยทักทายหรือเข้าสังคม”

ถ้าสังคมมันดี ใครไม่อยากเข้า ถ้าสังคมมันไม่ดี มันไม่อยากไป ถ้าเจอคนดีมันยอมรับคนดีเท่านั้น มันยอมรับแต่ของจริง มันยอมรับแต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ครูบาอาจารย์ที่เหลวไหลยังหนีเลย ไม่เอา ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงมันถึงเป็นจริง แล้วเคารพนบนอบอ่อนน้อม ไหว้ได้สบายๆ เลย เพราะมันลงที่ใจไง ถ้าใจมันลง

อันนี้มันก็เป็น จะว่าเป็นทิฏฐิ มันก็เป็นความดีอันหนึ่ง แต่ที่ว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนๆ เราก็ถ่อมตนได้โดยวัยวุฒิ คุณวุฒิ ชาติวุฒิ

โดยวัยวุฒิ ถ้าเราอายุน้อยกว่านะ เราก็ควรเคารพได้ ถ้าเราเคารพได้ ถึงเขาจะต่ำต้อยอย่างไร แต่ด้วยวัยวุฒิ นี่ไง มนุษย์มีค่าเท่ากับมนุษย์เหมือนกัน มนุษย์ไม่ใช่ดีเพราะการเกิด มนุษย์ดีที่การกระทำ แต่ดีที่การกระทำ มันเป็นจริตนิสัยไง ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เป็นอย่างนี้

ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ประวัติของท่านน่ะนักเลงด้วย นักเลงมาก นักเลงหัวไม้เลย แล้วไม่ลงใครทั้งสิ้น จนเขาบอกว่าบวชไม่ได้ เพื่อนบอกว่าถ้าบวชได้จะให้ขี้บนที่นอนเลย ถ้าบวชได้ครบพรรษา

แล้วก็ไปบวช พอบวชแล้ว สวดมนต์ก็เป็นสมาธิ ทำอะไรก็เป็นสมาธิหมดเลย โอ้โฮ! อย่างนี้ไม่สึกเลย ทำสมาธิไม่ได้เลย แต่สุดท้ายท่านเป็นพระอรหันต์

คนจริง ของจริง ยอมรับแต่ความเป็นจริง ของเท็จไม่เอา วาสนานะ

แต่ของเรา เห็นไหม ทางการเมือง อย่าไปไหว้มันนะ ไอ้คนขี้โกง

พอเจ้านายมา แป้เลยนะ

อย่าไปไหว้มันนะ

พูดได้ ทำไม่ได้

เราอย่าไปไหว้คนโกง อย่าไปเข้ากับคนโกง เวลาคนต้องคนซื่อสัตย์ ไอ้นี่เสียงดีแต่ไม่มีคะแนนทั้งนั้นน่ะ สอบตกหมด ไอ้คนขี้โกงมันได้เป็น สส. ทุกเที่ยว นี่เหมือนกัน โลกมันเป็นแบบนี้ไง

ฉะนั้นบอกว่า เขาถามมาไง

มันก็เป็นจริตนิสัย ถ้าเป็นจริตนิสัย ถ้ามันเป็นธรรมจริงๆ นะ มนุษย์เท่ากับมนุษย์น่ะ ด้วยวัยวุฒิ เราก็ยกมือไหว้ได้ ด้วยคุณวุฒิก็ได้ ถ้ามีคุณธรรมยิ่งได้ใหญ่เลย แต่นี่โดยสังคมไง แต่ในหัวใจเราต้องการคนดีไง

นี่พูดถึงว่ามันเป็นข้อผิดพลาด ข้อไม่ดีของเขา เขาว่านะ อยากให้หลวงพ่อช่วยชี้แนะด้วย

สังคมมันเป็นแบบนั้นไง ถ้าสังคมมันเป็นแบบนั้นน่ะ สังคม คนดีมันหายาก สิ่งที่หายาก หายากแล้วยังทำได้ยากด้วย แต่เราก็พยายามจะทำของเรา จะทำคุณงามความดีของเรา ถ้าทำได้นะ 

มันอยู่ที่จริตนิสัย ไม่ใช่ไอ้พวกกะล่อนปลิ้นปล้อนน่ะ เห็นใครมา ไหลไปกับเขาหมดเลย จะเอาแต่ประโยชน์อย่างเดียว กูจะหลอกใช้มึง จะหลอกใช้เขาทั้งนั้น จะหลอกเขาอย่างเดียว เอาแต่ประโยชน์ตัว แล้วไม่ได้ประโยชน์หมดนะ ตัวเองก็ไม่ได้ประโยชน์ คนอื่นก็ไม่ได้ประโยชน์ เพราะเป็นเรื่องการหลอกลวงทั้งสิ้น

แต่ถ้าเป็นความจริง เราจริงอยู่แล้ว เราจริงอยู่แล้ว ถ้าเราจริงอยู่แล้วนะ ความจริงเราบริหารจัดการใจเราได้

นี่พูดถึงเวลาเขาถามถึงเขาไม่ค่อยอ่อนน้อมถ่อมตนเลย เป็นปัญหาชีวิตเขามาก

ถ้าเป็นปัญหาชีวิต เราก็บอกว่า ถ้าฝึกหัดของเรา เราเคารพด้วยวัยวุฒิ เขาจะต่ำต้อยอย่างไร แต่ถ้าเขาอาวุโสกว่า เราเคารพเขาด้วยที่วัย เราเคารพเขาที่คุณวุฒิ คนดี คนมีคุณธรรม เราเคารพเขาที่คุณวุฒิ ชาติวุฒิเขาเกิดมาชาติที่สูงกว่า ชาติที่สูงกว่า สังคมนี้ยอมรับ จิตใจเรายังไม่ยอมรับ เราก็ทำตามสังคมเขาไป แล้วถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมานะ หัวใจเรายิ่งใหญ่ เราดูที่หัวใจเรานี้ แล้วประพฤติปฏิบัติที่ใจเรานี้

เห็นไหม ผลของวัฏฏะนะ โลกมันยังเปลี่ยนแปลงไปตลอด โลกมันยังหมุนอยู่ แล้วเราเชื่อถูกต้องหรือเชื่อไม่ถูกต้อง แต่นี้เราเป็นชาวพุทธไง พระพุทธศาสนา ธรรมและวินัยคือศาสดาของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก

ถ้าจิตใจสูงส่งถูกต้องตามความเป็นจริง แล้วเราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ชีวิตนี้จะมีอุดมการณ์ ชีวิตนี้จะมีเป้าหมาย แล้วชีวิตนี้จะประพฤติปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม เอวัง